27 ปัจจัยในด้านล่างต่อไปนี้คุณจำเป็นจะต้องตั้งใจอ่านเป็นอย่างดีสำหรับการทำ On Page SEO ของคุณ ในปี 2020 ซึ่งปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้เป็นวิธีการทำ SEO ขั้นพื้นฐานที่สุดที่คุณต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก
ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลต่อ:
ส่งผลโดยตรงต่อหน้าเว็บเพจของคุณ
มีผลต่อปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหน้าเว็บเพจของคุณ
ผมอยากให้คุณพิจารณาด้วยตนเองว่าปัจจัยใดที่คุณทำได้หรือปัจจัยใดที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณ
และในตอนท้ายของปัจจัยเหล่านี้ คุณจะได้อ่าน 5 ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการทำ On Page SEO ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณได้อันดับที่ดีขึ้นในหน้าผลการค้นหา นี่เป็นทางลัดที่เร็วที่สุด
สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้กัน (แสดง/ซ่อน)
- 27 ปัจจัยในการทำ On Page SEO เพื่อดันอันดับเว็บไซต์
- 5 ปัจจัยที่ดีที่สุดในการทำ On Page SEO
- รายการตรวจสอบการทำ On Page SEO
- สรุปบทความ
27 ปัจจัยในการทำ On Page SEO เพื่อดันอันดับเว็บไซต์
ไปเริ่มทำการแก้ไขปรับปรุง On Page SEO ของคุณกันเลย
01: ใส่คีย์เวิร์ดหลักของคุณในจุดเริ่มต้นของหัวข้อบทความหลัก
การวางคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณไว้ในจุดเริ่มต้นของหัวข้อหลักในบทความ ( Title Tag ) จะช่วยคุณได้มากในการทำให้ Search Engine เข้าใจได้ง่าย

นี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณานำมาใช้ในการทำ SEO On page
ทำไมนะหรือ?
เพราะว่ามันทำให้ Search Engine เห็นว่าหัวข้อหลักหรือเรื่องนั้นพูดเกี่ยวกับอะไร ภายในวินาทีแรกที่ไต่สำรวจเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง
ถ้าคุณกังวลใจอยู่ว่าหน้าเว็บเพจของคุณอาจจะไม่ดีพอสำหรับผู้ชมเว็บไซต์ของคุณ
คุณสามารถใช้ Wordpress คุณและใช้โปรแกรม Yoast ในการช่วยตั้งค่าหัวข้อหลักที่แตกต่างสำหรับผู้อ่านและ Search Engine ให้เหมาะสมที่สุด ทำให้ปัจจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างคอนเทนต์ด้านการตลาดของคุณ
02: ใส่คีย์เวิร์ดใน H1 ของหน้าเว็บเพจ
แท็ก "<H1>" ทำให้แน่ใจว่าหัวข้อที่มีคีย์เวิร์ดผสมอยู่ส่งผลดีต่อการไต่สำรวจเว็บไซต์โดย Google
Google crawler จะไต่สำรวจดูว่ามีอะไรอยู่ภายใน HTML
เมื่อในหัวข้อไม่มีคีย์เวิร์ดเหล่านี้ผสมอยู่มันก็จะมองผ่านไป
คุณก็คงไม่อยากพลาดโอกาสนี้แน่ๆ
เว็บไซต์ที่เป็น wordpress จะมีหัวข้อนี้ให้คุณแบบอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่เป็นแพลตฟอร์มแบบอืื่นๆ คุณอาจจะต้องใช้การแก้ไขด้วยตัวเอง
ไปดูตัวอย่างการใส่คีย์เวิร์ดใน H1 ตามรูปนี้:

คุณได้เพิ่มคีย์เวิร์ดไว้ในบริเวณการแก้ไขโพสต์บล็อกของคุณแล้วและการเพิ่ม H1 ไปที่หัวข้อ
จะเป็นดังนี้:

คุณสามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับ Heading Tags ได้ที่ คำแนะนำจาก คำแนะนำ SEO W3schools
03: การใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไปใน URL ของคุณ
A google roundtable session ปี 2016 เปิดเผยว่า...
การใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไปใน URL เป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์
ถึงมีว่ามันจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลเพียงเล็กน้อยที่ใช้เป็นปัจจัยจัดอันดับเว็บไซต์ก็ตาม ผมพิจารณาแล้วว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEO ที่ดีที่คุณควรที่จะใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไปใน URL ของคุณในทุกๆ หน้าเว็บเพจที่มีเสียแต่ตอนนี้เป็นต้นไป
คุณสามารถดูได้จากตัวอย่างเว็บไซต์ของผมได้ใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปในทุกๆ URLs:

โปรดจำไว้ว่าแม้เป็นปัจจัยที่ส่งผลเพียงเล็กน้อย แต่มันช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งใน SEO Checklist ของผม
04: ความยาวของ URL
โครงสร้างของ URL ที่สั้นและชัดเจนในบทความของคุณเป็นที่ชื่นชอบของ Search Engine
ทำไมนะหรือ?
นี่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้ Search Engine Crawler ไต่สำรวจเพราะว่า...
ช่วยให้ความชัดเจนให้หน้าเว็บเพจ
ใช้เวลาน้อยในการไต่สำรวจ Site map ของคุณ

และยังส่งผลดีต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย เพราะว่ามันง่ายต่อการจดจำ
05: ใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงไปในคำอธิบาย (Meta Descripiton)
Meta Description Tag เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ Google ให้คุณค่าด้วย

การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta description) ของคุณ:
ให้ข้อมูลภาพรวมที่ถูกต้องว่าหน้าเว็บเพจของคุณเกี่ยวกับอะไร
ใส่คีย์เวิร์ดหลักของคุณเข้าไปด้วย
สามารถช่วยเร่งการดันอันดับหน้าเว็บเพจของคุณได้เป็นอย่างมาก
ดังนั้นคุณไม่ควรละเลยในการใส่คีย์เวิร์ดหลักลงไปใน Meta Description ของคุณ
โปรดจำไว้ว่า : คุณยังสามารถใช้โครงสร้างแบบ data schema markups ทำให้ผลของคุณเหนือกว่าคู่แข่ง Schema Markups จะเป็นการเพิ่มตำแหน่งไหนเหมาะสม เพื่อให้คุณใส่ข้อมูลเพิ่ม เช่น การให้ดาว, ราคา, สต็อกสินค้าและการรีวิวเพื่อให้ดาว
06: โครงสร้างบทความที่ดูง่ายสำหรับผู้เข้าชมเว็บไซต์
เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างบทความของคุณ บทความในเว็บไซต์ของคุณควรมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
นั่นหมายความว่าการจัดวางบทความในบล็อกของคุณและรูปแบบของบล็อกควรที่จะทำให้ค้นหาได้รวดเร็วและง่าย นำผู้ใช้งานไปที่บทความและหาคำตอบที่พวกเขาสอบถามได้
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้ใช้งานเป็นดังนี้:
ทำให้หัวข้อหลักและหัวข้อย่อยชัดเจน
ใส่รูปภาพและมองเห็นให้เสมือนจริง
การใส่ตัวอักษรในพารากราฟ
ตรงประเด็นและใช้กล่องตัวอักษร
คุณควรกำหนดเป้าหมายแผนการจัดวางบทความของคุณให้ง่ายต่อการอ่านและการใช้งาน
เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานหาคำตอบที่พวกเขาถามได้อย่างรวดเร็วและขจัดปัญหาที่พวกเขาต้องการได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดูที่รูปภาพด้านล่าง:

คุณสามารถที่จะเห็นบทความของผมที่ประกอบด้วย
พื้นที่ว่าง (Lot of White space)
ง่ายต่อการอ่านหัวข้อ
ตรงประเด็น
รูปภาพ
ลิงค์
นี่จะทำให้บทความอ่านง่ายสบายตาและง่ายต่อผู้อ่านที่จะอ่านบทความนี้
อย่างเช่นที่คุณได้ทราบแล้วว่า On Page SEO คืออะไร?
ในบทความก่อนหน้านี้
ประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ของคุณเป็นเป้าหมายหลักที่ควรเน้นในการทำ On Page SEO
07: บทความเฉพาะ (Unique Content)
Search Engine ทำงานอย่างหนักเพื่อลดจำนวนบทความที่ซ้ำกันในหน้าผลการค้นหา นี่เป็นการรับประกันว่าจะไม่มีบทความที่เหมือนกันถูกจัดอันดับหน้าเว็บเพจโดยใช้คีย์เวิร์ดหลักเดียวกันถึงสองครั้ง
ถ้ามันตรวจจับบทความที่เหมือนกันจริงๆ ได้ในหลายเว็บไซต์, บล็อกโพสต์,หน้าหมวดหมู่, และหน้าสินค้า...
มีเพียงหน้าเดียวของหน้าเว็บเพจเหล่านั้นที่จะถูกจัดอันดับเว็บไซต์
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าเป็นหน้าเว็บเพจใด

ถ้าจำเป็นต้องมีบทความที่ซ้ำกันเล็กน้อยในเว็บไซต์คุณ เป็นไปได้ว่าควรเลี่ยงใช้คีย์เวิร์ดนั้นมาใส่
(ที่ไหนเว็บไซต์ของคุณที่มีบทความนั้นแล้ว มันก็จะลดอันดับเว็บไซต์ของคุณ ในส่วนสำคัญ)
ตามตัวอย่างวิดีโอที่อธิบายนี้ Rand Fishkin over On MOZ...
มันไม่ควรที่จะเป็นบทความเฉพาะเท่านั้น มันควรที่จะเพิ่มคุณค่าแบบเฉพาะเจาะจง
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าบทความของคุณกำลังสอนคนเกี่ยวกับการหุงข้าว มันก็ควรที่จะแสดงวิธีการใหม่ๆ ในการหุงข้าวและจะต้องไม่เหมือนบทความในบล็อกโพสต์อื่นๆ ที่ได้แสดงผลในอินเตอร์เน็ตมาก่อนแล้ว
08: ระดับการอ่านบทความ (Content Reading Level)
Google ได้กำหนดระดับการอ่านบทความเป็น:
พื้นฐาน (Basic)
ปานกลาง (Intermediate)
ก้าวหน้า (Advance)
ยึดเป็นหลักของระดับการอ่าน
จากจุดที่เป็น Copywriting ทั้งหมด ในระดับการอ่านขั้นต่ำสุดไปถึงระดับพื้นฐานเท่าที่เป็นไปได้ที่อยากแนะนำสำหรับเว็บไซต์โดยส่วนมาก นี่จะเป็นการรับประกันได้ว่าบทความของคุณได้เข้าถึงผู้อ่านเป็นจำนวนมาก
แต่ทั้งนี่ก็ขึ้นอยู่กับบทความของคุณที่ควรเปลี่ยนแปลง
นิตยสารทางวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีระดับของคนอ่านมากกกว่าเว็บไซต์อื่นๆ ที่เป็นเหมือนกับหนังสือพิมพ์ข่าวสารขนาดใหญ่และจุลสาร
นี่เป็นสิ่งที่ Google อนุญาติให้เราวัดค่าระดับการอ่านของพวกเรา
บางเรื่อง Google ได้ลบออก แต่นั้นก็หมายความว่ามีบางสิ่ง Google ได้ให้ความสำคัญและสนใจ
คุณสามารถที่จะใช้ Rank Math หรือ Yoast SEO Plugins เพื่อตรวจสอบดูระดับการอ่านในบทความของคุณได้ว่าอยู่ในระดับใด
และไม่คำนึงว่านี่จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลหรือไม่ - แต่มันเป็นปัจจัยการตัดสินว่าผู้อ่านบทความของคุณ รู้สึกโดยตรงต่อเว็บไซต์ของคุณและส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์เหมือนกับปัจจัยอัตราการคลิกออกและ Bounce Rate นั่นเอง
09: ใส่คีย์เวิร์ดหลักในระหว่าง 50 คำหรือ 100 คำแรกของบทความ
ตามความเห็นของ SEO คีย์เวิร์ดของคุณที่ปรากฎเร็วที่สุดในบทความ ทำให้ Search Engine ที่ไต่สำรวจบทความนั้นๆ รู้ได้ว่าบทความของคุณเป็นบทความที่เกี่ยวกับอะไร

บรรดานัก SEO มือใหม่และบล็อกเกอร์ลืมเรื่องพวกนี้ไป
ทำให้พวกเขาวางคีย์เวิร์ดหลักไว้ในตอนท้ายๆ ของบทความ หรือไว้ในตอนจบของบล็อกโพสต์
ดังนั้นคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนที่โพสต์บทความของคุณลงบล็อกว่าคีย์เวิร์ดหลักของคุณอยู่ในระหว่าง 50 คำแรก ถึง 100 คำแรกหรือไม่
10. ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในหัวข้อย่อย H2
ใช้หัวข้อหลักสำหรับหัวข้อย่อยของคุณ โดยอนุญาตให้ Search Engine สร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในหน้าเว็บเพจของคุณ และหัวข้อย่อยที่คุณเขียนเกี่ยวกับ

นี่ไม่เพียงแต่เพิ่มโครงสร้างเว็บไซต์ในหน้าเว็บเพจของคุณให้กับ Search Engine เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ชื่นชอบบทความมากขึ้นไปอีกด้วย
11. LSI คีย์เวิร์ดในบทความ (LSI Keyword in Content)
LSI Keyword ช่วยให้ข้อความแวดล้อมในบทความของคุณ จะเป็นคำหรือวลีว่าเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่คุณกำลังพูดอยู่
มีการโต้เถียงกันมากเกี่ยวกับ LSI Keyword ว่าส่งผลดีหรือไม่ ในขั้นตอนการทำ On Page SEO ที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้
ถ้าคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณเป็น "ไมโครโฟนช็อตกัน" วลี LSI Keyword ของคุณก็อาจจะเป็น:
ไมโครโฟนช็อตกันที่ดีที่สุด
การติดตั้งไมโครโฟนช็อตกัน
ไมโครโฟนช็อตกันราคาถูก
Boya ไมโครโฟน
แทรก LSI Keyword เหล่านี้ที่หลากหลายเข้าไปให้ทั่วในบทความของคุณ ทำแน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันกับบทความ
และก็ยังช่วยเพิ่มทราฟฟิกให้กับเว็บไซต์ของคุณจากคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
12: บทความที่ประกอบไปด้วยคำพ้อง
มันมีความเป็นไปได้ที่หน้าเว็บเพจที่ถูกจัดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดหลักอาจไม่ใช่ที่ต้องการ
นี่เป็นการใช้ความหมายของคำค้นหา "Semantic Search"
เป็นการที่จัดอันดับหน้าเพจไหนสำหรับคำพ้องของหัวข้อหลักในหน้าเพจนั้น
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ สำหรับหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบทความอื่นๆ ที่เแตกต่างในการออกเสียงและการสะกด
ยกตัวอย่างเช่น...
"ตู้เย็น" และ "เครื่องทำความเย็น" ทั้งสองคำนี้เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เหมือนกัน แต่ Google จะเลือกจัดอันดับบทความที่เน้นคำว่าตู้เย็นและก็จะจัดอันดับบทความที่มีคำว่าเครื่องทำความเย็นอีกด้วย

การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อหาคีย์เวิร์ดหลักที่จะใช้ในบทความนั้นยากและปริมาณการค้นหาสามารถที่จะใช้คำพ้องช่วยเพิ่มทราฟฟิกให้กับเว็บเพจด้วยการใช้คีย์เวิร์ดที่หลากหลายได้
13. การใช้คีย์เวิร์ดที่ระบุการค้นหา (Keyword Order)
คีย์เวิร์ดที่ระบุในการค้นหามันจะปรากฎในหน้าเว็บเพจและส่งผลต่อการจัดอันดับหน้าเว็บเพจของคุณ
ผู้คนใช้เงื่อนไขที่หลากหลายในการค้นหาอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาก็มีความตั้งใจที่จะค้นหาสิ่งที่เหมือนกัน
ดังนั้นมันจึงมีความสำคัญที่คุณจะต้องใช้คีย์เวิร์ดที่ครอบคลุม
ผมจะยกตัวอย่างให้คุณดู...
กลุ่มของคนที่กำลังมองหาที่จะซื้อหนังสือ - ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เขียนโดย ยูอาร์โนวัล ฮิลารี ถ้ามีคนสี่คนที่จะระบุการค้นหา พวกเขาก็อาจจะใช้คีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันตามนี้
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ยูอาร์โนวัล
ยูอาร์โนวัล ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เขียนโดย ยูอาร์โนวัล
ยูอาร์โนวัล ประวัติศาสตร์มนุษย์
ถึงอย่างไรก็ตามจริงๆ แล้วพวกเขาก็ต้องการในสิ่งเดียวกันทั้งหมด
นี่เป็นคำที่ใช้ค้นหาที่สามารถส่งผลต่อการจัดอันดับหน้าเว็บเพจในการค้นหาของคุณ
โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันกันสูง
วิธีการนี้คุณควรใส่คีย์เวิร์ดที่ผสมกับคีย์เวิร์ดที่ดีใส่ลงไปอย่างหนาแน่นไปทั่วทั้งบทความของคุณเพื่อเป็นการปรับหน้าเว็บเพจให้ดีขึ้น
14. การใช้ลิงค์ออกไปภายนอก (Use Of Outbound links)
การใช้ลิงค์ออกไปภายนอกจากหน้าเว็บเพจของคุณสามารถช่วยทำให้ Search Engine ได้ตัดสินใจถึงคุณค่าของบทความทั้งหมดของคุณได้
การกล่าวอ้าง, อ้างอิงและการลิงค์กลับไปบทความวิจัยและกรณีศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อที่คุณกำลังอภิปราย ช่วยเพิ่มพลังให้กับหน้าเว็บเพจของคุณ และแสดงถึงว่าคุณกำลังพยายามเพิ่มคุณค่าในหน้าเว็บเพจนั้นๆ
ทำให้แน่ใจว่าคุณใช้ Anchor text ที่เกี่ยวข้องและการใช้ Dofollow และ Nofollow (ตรวจสอบที่ Source Code)
โปรดทราบ: วางลิงค์ไปเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับบทความหรือเว็บไซต์ของคุณ
15. การสร้างลิงค์ภายในเว็บไซต์ (Internal Linking)
การสร้างลิงค์ภายในเว็บไซต์ (Internal Linking) เป็นหนึ่งในวิธีการหลายๆ วิธีของกลยุทธ์การทำ SEO และมันก็เป็นวิธีการที่คุณควรที่จะต้องทำด้วย
ลิงค์ภายในเว็บไซต์เป็นลิงค์จากหนึ่งหน้าเพจของเว็บไซต์ของคุณ มีลิงค์ไปยังอีกหน้าเพจหนึ่งในเว็บไซต์ของคุณ คุณควรใส่ Anchor text
ให้ดูตัวอย่างนี้จากหน้าเว็บเพจคีย์เวิร์ดคืออะไร? ของผม

เมื่อผมได้เขียนบางส่วนในบทความที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาคีย์เวิร์ด มันก็เป็น sense ง่ายๆ ที่ผมจะลิงค์ไปอีกหน้าเว็บเพจที่เป็นชนิดของคีย์เวิร์ดในเว็บไซต์ของผม
นี่เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อ่าน เพราะว่าเป็นการให้แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อมูลพิเศษแก่ผู้อ่าน
แต่มันก็ยังมีบางสิ่งอีกด้วย
ที่มันช่วยทำให้เว็บไซต์ของผมไต่สำรวจได้ง่ายโดยมีการระบุจุดใหม่ๆ ในส่วนต่างๆ ในเว็บไซต์ผม
และถ้าบางหน้าเว็บเพจมีลิงค์ที่ดีมันก็จะทำให้เกิดการแชร์กันระหว่างหน้าเว็บเพจ
16. ลิงค์ยังใช้งานได้ (Working Link)
โปรดแน่ใจว่าลิงค์ภายนอก (External Link) และลิงค์ภายใน (Internal Link) ทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณยังทำงานได้ดีอยู่ และไม่เป็นหน้าเว็บเพจ 404
นี่ไม่เพียงแต่ทำให้ลิงค์เสีย แต่มันยังส่งผลเสียต่อผู้ใช้งานเว็บไซต์อีกด้วย นี่ก็จะส่งผลกระทบต่อมาตราวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์อื่นๆ ไปด้วย
17. การจัดการรูปภาพด้วยการใส่คำอธิบาย (Optimized Image Alt Tags)
รูปภาพไม่ใช่แต่เกี่ยวกับการออกแบบเว็บเท่านั้น แต่คำอธิบายรูปภาพ (Alt Tag) จะช่วยให้ Google แปลความหมายรูปภาพของคุณบนหน้าเว็บเพจ
เพราะว่าการไต่สำรวจรูปภาพไม่สามารถที่จะแปลความหมายในทุกๆ รูปภาพได้แม่นยำ 100% มันก็จะเป็นการดีถ้าช่วยการไต่สำรวจรูปภาพด้วยการเพิ่ม tag เข้าไปในรูปภาพของคุณ
ดูรูปภาพด้านล่างเป็นตัวอย่าง:

หลายๆ รูปภาพในเว็บไซต์ที่ได้อัพโหลดลงไป จะตั้งค่ารูปภาพเป็นค่ามาตรฐานดังลักษณะนี้ :
IMG_DIGI_04367890.jpg
ไฟล์ที่ชื่อแบบนี้มันเป็นการยากที่ Crawler จะเข้าใจความหมาย
ให้แทนที่ด้วยการใช้ตัวอักษรเขียนอธิบายชื่อรูปภาพว่าคืออะไร เช่น
สถานที่ทำงานส่วนตัวของผม
Macbook และถ้วยกาแฟ
โต๊ะไม้กับ Laptop
คุณก็จะเข้าใจความหมาย (ตามตัวหนังสือ)
แท็กเหล่านี้คุณสามารถที่จะใส่คีย์เวิร์ดทีคุณต้องการเข้าไปได้ เพื่อช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องในหน้าเว็บเพจของคุณ
คุณสามารถที่จะโปรยคีย์เวิร์ดไปทั่วรูปภาพในหน้าเว็บเพจของคุณแต่อย่าใส่มากจนเกินไป
18. การทำเว็บไซต์รองรับมือถือ (Mobile Responsive Website)
ในปี 2015 Google ได้ลงโทษเว็บไซต์ที่ไม่รองรับกับมือถือ
นั่นหมายความว่าถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่รองรับกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ คุณก็จะไม่ได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
บวกกับข้อมูลที่ออกมาเพิ่มเติม Mobile First Index ในปี 2018

คุณสามารถที่จะทำการตรวจสอบได้ ถ้าเว็บไซต์ของคุณรองรับกับมือถือด้วยการใช้ Mobile Friendly Test Tool
19. ความเร็วของเว็บไซต์ (Fast Site Speed)
ในปี 2010 google ได้ประกาศว่า ความเร็วของเว็บไซต์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์

เว็บไซต์ที่ช้าส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์และค่าใช้จ่ายในการจัดการเว็บไซต์ในระยะยาว
มันปัจจัยที่คุณควรที่จะใส่ใจ เพราะว่ามันอยู่ในการควบคุมของคุณและคุณก็สามารถที่จะทำการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ของคุณเองได้ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง
20. ระบบความปลอดภัยเว็บไซต์ HTTPS (HTTPS Security)
ในปี 2014 Google ประกาศว่าเว็บไซต์ที่มีการเข้ารหัส HTTPS จะได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรก
และจากนั้นสัญญาณนี้ก็ถูกใช้เป็นปัจจัยหนึ่งตลอดมา
ถ้าเว็บไซต์ของคุณยังไม่มีการเข้ารหัส HTTPS ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องเปลี่ยนเป็นเข้ารหัสได้แล้ว
21. เวลาที่ผู้ชมอยู่ในหน้าเว็บเพจ (Length of Dwell Time)
Dwell Time เป็นจำนวนเวลาที่ใครบางคนใช้เวลาอ่านบทความอยู่ในหน้าเว็บเพจของคุณ หลังจากที่เขาค้นหาเจอหน้าเว็บเพจของคุณจากหน้าการค้นหาแล้ว (Search Result)
ผมจะอธิบายให้คุณดูว่า ผมจะค้นหาจาก Google ด้วยคำว่า "วิธีการหุงข้าว"
มันก็จะแสดงผลจาก Google ผมก็จะคลิกเข้าไปดูในผลการค้นหาแรกเลย

มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเมื่อผมได้เข้าไปชมหน้าเว็บเพจ นี่เป็นหนึ่งในสามเหตุผลที่จะเป็นไปได้:
- ผมออกจากหน้าเว็บเพจนั้นในทันที: ผมจะมองดูบทความและพูดว่า "โอ้ว นี่ไม่ใช่สำหรับผม"
- ผมจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองนาทีในหน้าเว็บเพจ: ผมจะทำการอ่านบทความแล้วคิด "Okay นี่อาจจะช่วยผมได้"
- ผมจะใช้เวลานานมากในหน้าเว็บเพจนี้: ผมจะอ่านบทความและคิด "ใช่เลย นี่แหละที่ผมต้องการ"
ถ้าผู้เข้าชมหน้าเว็บเพจโดยส่วนมากออกโดยทันที หน้าเว็บเพจนั้นมันก็จะเป็นบทความที่ไม่มีคุณภาพ
ถ้าผู้เข้าชมใช้เวลาเพียงสองสามนาทีมันก็จะชี้เป็นค่าเฉลี่ยกลางๆ
และถ้าผู้เข้าชมเว็บไซต์ใช้เวลานานมากในหน้าเว็บเพจ มันก็จะชี้วัดว่าเป็นบทความที่ดีเยี่ยม
คุณสามารถปรับปรุงเวลาที่ผู้ชมอยู่ในหน้าเว็บเพจด้วยการทำการแก้ไขบทความให้มีคุณภาพและใช้เทคนิค SEO Copywriting ในการเขียนบทความของคุณ
22. อัตราการคลิกออกจากหน้าเว็บเพจ (Bounce Rate)
ประกาศอย่างเป็นทางการจาก Google อัตราการคลิกออกจากเว็บไซต์ไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์
แต่ MOZ มีข้อมูลที่น่าสนใจบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับเว็บไซต์ในอันดับที่สูงขึ้น
ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราการคลิกออกจากเว็บไซต์คืออะไร
ให้สังเกตว่ามีคนเข้าชมหน้าเว็บเพจจำนวนเท่าไหร่และออกจากเว็บเพจไปก่อนที่จะไปเข้าชมหน้าเว็บเพจอื่นๆ

คุณสามารถแก้ไขอัตราการคลิกออกจากเว็บไซต์โดยการ -
ใช้กลยุทธ์การสร้างลิงค์ภายในเว็บไซต์ (Internal Linking Building Strategy)
เขียนบทความคุณภาพ
ใช้เทคนิค SEO Copywriting
คุณสามารถตรวจสอบอัตราการคลิกออกจากเว็บไซต์คุณได้ที่ Google Analytics
23. ความยาวของบทความ (Lenght of Content)
บทความที่มีความยาวสม่ำเสมอมักจะได้รับความสนใจกว่าบทความที่มีรูปแบบสั้นๆ
ความจริงแล้วค่าเฉลี่ยของการโพสต์บล็อกความยาวบทความที่ถูกจัดอันดับเว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกนั้นประมาณ 1,890 คำ
ถ้าคุณได้เข้าอ่านบทความทั้งหมดในบล็อกนี้ของผม คุณจะเห็นได้ว่าบทความของผมในแต่ละบทความจะมีความยาวระหว่าง 1,000 คำ ถึง 2,000 คำ และบางบทความอาจจะถึง 10,000 คำ

การนับคำว่าบทความอะไรเป็นบทความที่ยาวจะเปลี่ยนไปตามบทความเฉพาะที่คุณเขียน
แต่ผมอยากให้คุณมุ่งเน้นไปที่ความยาวของบทความและรายละเอียดของบทความ
24. รายละเอียดเชิงลึกของบทความ (Depth of Content)
รายละเอียดหรือเนื้อหาของบทความเป็นแนวทางที่ผมจะบอกกับคุณว่าในบทความของคุณไม่ควรที่จะเป็นบทความที่มีรายละเอียดและเนื้อหาน้อยจนเกินไป
ในขณะที่บทความของคุณควรที่จะมีความยาว มันควรที่จะใส่ข้อมูลรายละเอียดเนื้อหาเชิงลึกที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้รับคำตอบที่พวกเขาต้องการ
ไปดูตัวอย่างกันว่ามีอยู่ 2 บทความเกี่ยวกับวิธีการหุงข้าว บทความแรกพูดว่า...
ขั้นตอน #1 ต้มน้ำ
ขั้นตอน #2 ใส่ข้าวลงไปในน้ำที่ต้ม
ขั้นตอน #3 รอจนกระทั่งข้าวสุก
ขั้นตอน #4 กินข้าว
ในขณะที่บทความที่ 2 พูดว่า
ขั้นตอน #1 ต้มน้ำจนเดือดและใส่เกลือลงไป 2 ช้อน
ขั้นตอน #2 ล้างข้าวด้วยน้ำสะอาดก่อนที่คุณจะใส่ลงไปในน้ำที่ต้ม
ขั้นตอน #3 ใส่ข้าวลงไปในน้ำที่ต้มและรอจนน้ำเดือดสัก 2 นาที
ขั้นตอน #4 ตักใส่จานเตรียมรับประทาน...
คุณได้เห็นภาพ
ที่เป็นรายละเอียดข้อมูลเชิงลึกมากกว่า
คุณค่าของเนื้อหาที่มากของบทความ มันจะทำให้ Search Engine's crawlers รับรู้ความหมายแท้จริงได้มากกว่า
25. การใช้มัลติมีเดีย ( Use Of Multimedia)
การใช้รูปภาพและวิดีโอในบทความช่วยให้
เพิ่มเวลาการดูหน้าเว็บเพจมากขึ้น
ลดอัตราคลิกออกจากหน้าเว็บเพจ
เพิ่มการแชร์ในโซเชียลมีเดีย (ใช้ปุ่มแชร์ในโซเชียลมีเดียช่วย)
มันสามารถที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบทความของคุณได้อีกด้วยและดึงดูด Backlinks
รูปภาพและวิดีโอที่เป็นคอนเท้นต์นำมาซึ่งกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าชมหน้าเว็บเพจที่กว้างมากขึ้น
26. ความสดใหม่ของบทความ (Freshness of Content)
การมีบทความที่สดใหม่ บทความที่อัพเดทตลอดสามารถที่จะช่วยให้อันดับเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่สูงได้ และยังสามารถที่จะช่วยกระตุ้นบทความเก่าๆ ของคุณให้มีผู้เข้าชมได้อีกด้วย
Google ได้แสดงวันที่อัพเดทล่าสุดสำหรับบทความในผลการค้นหา

นี่หมายความว่า Google (และผู้อ่านของคุณ) ให้ความใส่ใจกับวันที่บทความอัพเดทล่าสุด
จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมรู้ว่าตัวผมเองนั้นชอบที่จะคลิกไปที่บทความที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้นผมรับประกันว่ามันยังจะช่วยปรับปรุง Click Through rate ของคุณอีกด้วย
27. การสะกดคำและไวยากรณ์ (Spelling and Grammar)
Google ได้บอกว่า คุณควรแน่ใจว่าการสะกดคำถูกต้องและไวยากรณ์และรูปแบบของฟอนต์ตัวอักษรเหมาะสม
ในขณะที่ความผิดปกติและข้อผิดพลาดจะไม่สร้างผลเสียต่อเว็บไซต์ของคุณแต่อย่างใด
บทความที่อ่านยากก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าบทความจะด้อยค่าไปเสียทีเดียว
นี่คือ 27 รายการตรวจสอบ On Page SEO ที่ผมอยากแนะนำให้คุณทำตามเพื่อทำให้ผลการค้นหาเว็บไซต์ของคุณดีขึ้นและเป็นการเพิ่มทราฟฟิกให้กับเว็บไซต์ของคุณ
5 ปัจจัยสูงสุดของ On Page SEO ที่คุณควรทำ
จากมุมมองของการทำ SEO On-Page ไม่ใช่ว่าปัจจัยทั้งหมดจะมีคุณค่าเท่ากัน
และในบางปัจจัยของการทำ On Page SEO มีน้ำหนักคะแนนมากกว่าอีกปัจจัยอื่นๆ ในอัลกอริทึม
ดังน้้นนี่เป็น 5 ปัจจัยสูงสุดของการทำ On Page SEO สำหรับให้คุณมุ่งเน้น (คลิกที่ลิงค์เพื่อไปดูปัจจัยแต่ละส่วน) เพื่อกำหนดกลยุทธ์การทำ SEO Marketing ด้วยบทความของคุณ
- รองรับกับมือถือ (Mobile Responsive) ทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการแก้ไขให้รองรับกับมือถือและอุปกรณ์เคลื่อนที่
- ความเร็วของเว็บไซต์ ( Website Speed) ทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพต่อผู้ใช้งาน
- ใส่คีย์เวิร์ดหลักเริ่มต้นในหัวข้อบทความ ( Keyword at The Start Of your Title Tag) ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณลงในหัวข้อบทความ โดยให้ใส่ไว้ในจุดเริ่มต้นหัวข้อบทความ
- สร้างลิงค์ภายในเว็บไซต์ (Internal Link Building) สร้างลิงค์ภายในหน้าเว็บเพจหนึ่งไปยังอีกหน้าเว็บเพจหนึ่งในเว็บไซต์ของคุณ
- ความยาวของบทความ ( Lenght of Content) แน่ใจว่าบทความของคุณมีความยาวและถ้าเป็นไปได้ต้องมีข้อมูลเชิงลึกในบทความด้วย

แต่เพื่อความแน่ใจ อย่าเพิกเฉยต่อปัจจัยที่มีประสิทธิภาพอื่นๆ ของ SEO เป็นเวลานาน
27 รายการตรวจสอบปัจจัย On Page SEO
ถ้าคุณได้ทำตามแนวทางเหล่านี้และทำได้เป็นอย่างดีในการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
ผมได้ใส่รายการตรวจสอบ On Page SEO ฟรีๆ ไว้ให้คุณได้ดาวน์โหลดไปทำ SEO ด้วยตัวเอง
มันจะแสดงปัจจัยการทำ On Page SEO ทั้งหมดที่มีอยู่ในบทความนี้ ที่คุณสามารถใช้อ้างอิงเมื่อคุณจะทำการสร้างบทความให้กับเว็บไซต์ของคุณ (พิมพ์ออกมาแปะไว้ดูได้เลย)

แน่ใจว่าคุณใช้วิธีการเหล่านี้ในกลยุทธ์การเขียนบทความ seo ทางการตลาดและกลยุทธ์การทำ SEO ของคุณ
โปรดทราบ: การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำอันดับเว็บไซต์แต่มันก็ไม่ใช้งานง่ายเสมอไป ผมได้ใช้เครื่องมือการทำ SEO (SEO Tolso) ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของผมและค้นหาไอเดียคีย์เวิร์ดที่มีประโยชน์และโอกาสในการแข่งขัน
ยกตัวอย่างเช่น ผมใช้โปรแกรม SEMRush เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลคีย์เวิร์ดบางอย่างจริงจัง เช่น ปริมาณการค้นหา, ความถี่ของคีย์เวิร์ด, ระดับการแข่งขัน, ราคาต่อคลิกและอื่นๆ อีกมาก!
คีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดและบทความที่ดีที่สุดเป็นกุญแจสำคัญในการดันอันดับเว็บไซต์ของคุณบน search engine และประสบความสำเร็จในการทำ SEO
สรุปบทความ
การเป็นเจ้าของเว็บไซต์, คุณสามารถควบคุมแต่ละปัจจัยของ On Page SEO จากการใช้รายการตรวจสอบ On Page SEO นี้
และการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตามรายการนี้ในเวลาเพียงแค่ 60 วินาทีก็สามารถที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในระดับแถวหน้าของเป้าหมายการตลาดได้
แต่ถ้าคุณมีเวลาไม่มากนัก ผมแนะนำให้คุณโฟกัสไปที่:
การทำให้รองรับมือถือ (Mobile Responsiveness)
ความเร็วเว็บไซต์ของคุณ (Your Website Speed)
วางคีย์เวิร์ดหลักในจุดเริ่มต้นของหัวข้อบทความ (Put a primary keyword at the start of title tag)
การสร้างลิงค์ภายในเว็บไซต์ (Internal Link)
ความยาวของบทความ (The Lenght of your content)
แต่คุณจะต้องมาปรับแต่งปัจจัยอื่นๆ ในวันต่อไปด้วย
เมื่อคุณกำลังทำการแก้ไขบทความของคุณเพื่อเตรียมโพสต์ในเว็บไซต์ คุณได้ทำตามครบถ้วนถูกต้องตามคู่มือรายการตรวจสอบการทำ On Page SEO ที่ผมให้ไว้เรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นการช่วยคุณแก้ไขบทความของคุณและช่วยการปรับแต่งบทความของคุณได้เต็มรูปแบบก่อนที่คุณจะทำการโพสต์ลงไป
และถ้าคุณต้องการที่จะทำตามรายการตรวจสอบ On Page SEO ให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ คุณควรไปอ่านบทความการทำ SEO ตอนอื่นๆ และเทคนิคการทำ SEO ของผมอีกด้วย นั้นจะช่วยทุเลาการทำงานหนักของคุณลงได้
แต่ถ้าคุณไม่ต้องการเสียเวลา ก็ให้พิจารณาหาที่ปรึกษาการทำ SEO
หรือว่าคุณมีงบประมาณที่จำกัด ก็ให้ใช้รายการเครื่องมือทำ SEO ฟรีของผม
ตอนนี้คุณก็ได้รู้แล้วว่ามีปัจจัยการทำ On Page SEO อะไรบ้างที่คุณควรจะโฟกัสเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณติด 10 อันดับแรกใน Google SERPs มันก็ถึงขั้นตอนที่จะต้องตรวจสอบการทำ SEO ให้ครบถ้วนและปรับแต่งบทความของคุณต่อไป
ตอนนี้คุณก็ได้รู้แล้วว่ามีปัจจัยการทำ On Page SEO อะไรบ้างที่คุณควรจะโฟกัสเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณติด 10 อันดับแรกใน Google SERPs มันก็ถึงขั้นตอนที่จะต้องตรวจสอบการทำ SEO ให้ครบถ้วนและปรับแต่งบทความของคุณต่อไป